วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เขยลุงโฮ

เขยลุงโฮ
โดย...ครูอารมณ์

oooooข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 ปีงบประมาณ 2548 โดยความเห็นชอบของสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ได้ตราขึ้นเพื่อใช้เป็นหลักในการบริหารและพัฒนาท้องถิ่น นายนิคม เกิดขันหมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ได้ลงนามเห็นชอบ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2548 กองกิจการสภาฯ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ค่าใช้สอยประเภทรายจ่ายเกี่ยวกับการรับรองและพิธีการในการฝึกอบรมสัมมนาสมาชิก หลักสูตรต่างๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการทัศนศึกษาดูงานทั้งภายในและต่างประเทศ ตามหลักสูตรที่ฝึกอบรมสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม (ส.อบจ.) จึงเกิดความคิดว่าจังหวัดนครพนมเป็นจังหวัดชายแดน มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศเพื่อนบ้าน และภายใต้ “วิสัยทัศน์” จังหวัดที่ว่า “...เมืองน่าอยู่ คู่สัมพันธ์อินโดจีน...” ยุทธศาสตร์การพัฒนาตามแผนพัฒนาสามปีของ อบจ.นครพนม น่าจะได้ไปศึกษาเรียนรู้เพื่อนบ้านเพื่อจะได้พัฒนาถูกทิศทาง เพิ่มพูนศักยภาพของสมาชิกสภาให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงกระแสโลกาภิวัตน์ วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนและอุปสรรค เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอินโดจีน กองกิจการสภาฯ จึงได้ทำโครงการอบรมสัมมนาศึกษาดูงานด้านการพัฒนาการท่องเที่ยว การค้าอินโดจีน ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดนครพนม ในวันที่ 9-14 มิถุนายน ณ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม อบรมเพื่อรู้วัฒนธรรม ภาษาพื้นฐาน การเตรียมการ 1 วัน ก่อนเดินหลงไปรถยนต์ กลับเครื่องบิน 5 วัน 4 คืน ประธานสภา อบจ. คุณสุจินดา ศรีวรขาน (แม่แก็ส) ส่งโครงการขออนุญาตผู้ว่า...ติดต่อสถานทูตทั้ง 2 ประเทศ ตกลงว่าจ้างทัวร์ แล้วอบรมเรียกน้ำย่อย 1 วัน เชิญ..รองผู้ว่าธีรเดช วงษ์ราช มาเป็นประธานเปิดอบรมและบรรยายพิเศษ เรื่องการค้าการลงทุน ท่านเป็นหัวหน้าคณะในการศึกษาดูงานครั้งนี้ เชิญ..คุณมงคล ตันสุวรรณ รองประธานหอการค้า มาบรรยายแทนประธานหอการค้า เรื่องการพัฒนาการค้าอินโดจีน เชิญ..คุณศักดิ์ณรงค์ อุตสาหกุล ผอ.ฝ่ายวิจัยนโยบายและประสานการพัฒนาอุตสาหกรรม บรรยายเรื่องการพัฒนาสัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทยเพื่อการส่งออก (โครงการปลาเผาะ) ปิดการสัมมนาโดย..ไกด์เจ้าของทัวร์ คุณศักดิ์ชาย รัตนสกุลชัยกิจ (บีอาร์) ผู้จัดการบริษัทเอสพี บีอาร์ ทัวร์.. ไทยใหม่..คนไทยเชื้อสายเวียดนามพูดถึงการเตรียมสัมภาระ วัฒนธรรม..ภาษาง่ายๆ อัตราการแลกเปลี่ยนเงินสกุลลาว เวียดนาม พร้อมนัดหมายเวลา 6โมงเศษ คณะพร้อมที่จะลงเรือข้ามฟาก รถที่รอเดินทางไปเวียดนามจะออกจากเมืองท่าแขก ประเทศลาว เวลา 7 โมงตรง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม (ส.อบจ.) 30 คน ร่วมเดินทาง 25.. รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2.. คุณนายรองผู้ว่าธีรเดช 1.. ท้องถิ่นจังหวัด 1.. ผอ.กองกิจการสภา 1.. เจ้าหน้าที่ อบจ. 1.. ล่ามส่วนตัวประธานสภาอีก 1.. เบ็ดเสร็จ 32 ชีวิต นั่งเรือข้ามฟากมุ่งสู่เมืองคำม่วน ส.ป.ป.ลาว เป็นคณะหน้า.. การเริ่มต้นกินข้าว...วันเดียวสามแผ่นดิน พร้อมแล้ว ณ บัดนี้... “ท่าแขก หรือ คำม่วน” เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางของลาว ตรงข้ามกับนครพนมเรา เสียงบีอาร์...ไกด์ของคณะดังขึ้นเมื่อทุกคนนั่งรถและเคลื่อนตัวออกจากท่าด่าน คำว่า “ท่าแขก” ถ้าพูดเป็นภาษาลาว คือ ถ่าแขก แปลว่า คอยแขก หรือรอแขก ท่าแขก..คือแขวงที่ติดน้ำโขง ทางเหนือคือเวียงจันทน์ ตรงกลางคือ ท่าแขก ทางใต้คือสะหวันเขต การเดินทางในอดีตอาศัยน้ำโขงเดินเรือจากเวียงจันทน์ ต้องแวะท่าแขกเพื่อเติมน้ำมัน พักผ่อนหลับนอน จากสะหวันเขตก็ต้องแวะก่อนไปเวียงจันทน์ บีอาร์บรรยายอวดภูมิคนนำทาง “คำม่วน” เป็นภาษาลาว คนที่มาแวะท่าแขกต้องมีการ “กิน ดื่ม รำวง สามัคคี” ก่อนหลับนอน เป็นเมืองสนุกสนาน ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเมื่อครั้งอดีต แพริมน้ำที่ท่านเห็นอยู่นั่น เป็นแพกินดื่มรำวงสามัคคี ใครอยากมาให้บอกผมจะพามา...ว่าม่วนขนาดไหน คำว่า “ม่วน” เป็นสุดยอดของความหมายในภาษาลาว ทั้งคำนามและคำกริยา หาคำอื่นมาเปรียบยาก ถ้าอยู่เมืองไทยคงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เมืองแขกม่วน” มากกว่า “เมืองคำม่วน” ท่าแขกหรือแขวงคำม่วน เป็นจังหวัดอันดับ 3 ของ สปป.ลาว อดีตคืออาณาจักรศรีโคตรบูรณ์รวมกับฝั่งนครพนม เป็นเมืองแห่งภูเขา ชื่อนครพนมคงได้จากภูเขาหินตั้งเป็นแท่งๆ สูงต่ำเหล่านี้ ขอให้ทุกท่านโปรดสังเกตทางซ้ายมือ คือกำแพงหิน สร้างมาตั้งแต่ครั้งใดไม่ปรากฏ เป็นกำแพงธรรมชาติหรือคนสร้าง ยังต้องสืบค้นอีกต่อไปครับ “ผมจะหาคำตอบให้เมื่อคณะได้มาอีกครั้ง..” หินแผ่นกว้างยาวไม่เท่ากัน กว้างประมาณครึ่งเมตรถึงเมตร ยาวราว 3-5 เมตร วางซ้อนเรียงรายขนานไปตามถนน บางกำแพงยังดูสมบูรณ์ มีแผ่นที่พังลงมาบ้าง แต่ยังพอมองเห็นร่องรอยของความสงสัย ว่าใคร? เป็นคนมาสร้าง เมื่อไหร่? สร้างทำไม? เพื่ออะไร? หรือเกิดเอง “ถนนที่รถวิ่งอยู่ขณะนี้ คือถนนหมายเลข 13... เป็นเส้นทางสายเดียวที่เชื่อมภาคใต้ ตั้งแต่แขวงจำปาศักดิ์ แขวงสะหวันเขต แขวงคำม่วน ถึงนครกำแพงเวียงจันทน์ โดยจะเชื่อมกับถนนหมายเลข 8 เอ เป็นถนนที่จะนำเราสู่เมืองหลักซาว...ชายแดนลาว ต่อเขตเวียดนาม ถึงบ้านน้ำทอนเราจะเลี้ยวขวา อยู่ตรงข้ามกับอำเภอบ้านแพง...” พอรถวิ่งตามถนนหมายเลข 8 สถานีวิทยุชุมชนดังแทรกมาเป็นระยะ ไล่เรียงมาตั้งแต่ชุมชนคนน้ำบังของ สจ.คำยอด (นายชูกัน กุลวงษา) ส.อบจ.เขตนาแก จัดรายการทั้งเพลงตามคำขอ นิทานม่วนชื่น โฆษณาขายยาดม ยาลม ยาม่อง ขายโทรทัศน์ พัดลม ตู้เย็น รับเกรดถนน ขุดบ่อ ถมที่ ทั่วราชอาณาจักร ตอบจดหมายรัก ปัญหาหัวใจ ขอเพลงทางโทรทัศน์ เป็นที่ครื้นเครงหมุนเวียนไปจากสถานีใต้...กลาง...ไปเหนือ...ถึงสถานีชุมชนคนนาหว้า โดย..ส.อบจ.เขตอำเภอนาหว้า จัดเป็นสถานีสุดท้าย ขนาดไกด์ที่ว่าโหด...มัน...ฮา...ยังยอมถูกยึดไมค์ เสียงหัวเราะ...เสียงวิจารณ์...ด้วยความตื่นเต้น...แปลกตา มองดูลาวช่างกว้างใหญ่ นานๆ จึงเห็นบ้านคน ยิ่งลึกสองข้างทางเต็มไปด้วยป่า เขา ภูเขาหินเป็นแท่งๆ ทำโรงปูนเหมือนสระบุรี อีก 1,000 ปี คงไม่หมดป่าไม้ยังสมบูรณ์มาก ถ้าไม่มีเครื่องมือหนักอย่างดี เข้าไปตัดไม้คงทำได้ยาก ต้องผ่านหุบเหว ผ่านเขาที่ซ้อนสลับกัน หมู่บ้านอยู่กลางป่าไม่มีไฟฟ้าใช้ ไม่มีส้วม ไม่มีประปา โรงเรียนคงปิดเพราะฤดูปักดำ ภาพเหมือนบ้านผมตอนยังเด็ก หน้าฝนไม่ต้องไปโรงเรียน ไปนอนนากับครอบครัว กระท่อมนาจึงเป็นบ้านหลังที่สองของเรา การทำนาทำสวนแบบพอเพียง ปลูกข้าวผสมไปกับพืชสวน พื้นที่ไม่กว้างนัก รอบบริเวณคือซุปเปอร์มาร์เก็ตชั้นหนึ่งของพวกเรา อยากกินสัตว์ป่า กระต่าย อีเห็น นก ไก่ป่า เป็นหน้าที่ของพ่อ อยากกินเห็ด หน่อไม้ แมลงต่างๆ แม่เป็นคนจัดการ พ่อใหญ่เป็นคนจักสานสัมภาระไว้ใส่ของ แม่ใหญ่ชวนผมและน้องๆ ไปวัดบ้างในวันพระ พวกเราก็ชอบเพราะได้กินข้าวก้นบาตรหลวงตา แถมมีขนมห่อมาฝากคนในบ้านได้อีก เราไม่อยากไปโรงเรียนเท่าใดนัก เพราะมีครูแค่คนเดียว วันใดที่ครูไปประชุมอำเภอไม่ได้เรียนหนังสือ พวกเราจะเล่นร้องรำกันทั้งวัน ของเล่นมีไม่มากนัก ทั้งโรงเรียนมีลูกฟุตบอลเพียงลูกเดียว ทั้งปะทั้งเย็บจนรูปร่างมันเปลี่ยนไป สนามก็หาส่วนที่มีหญ้ารกน้อยที่สุด ประตูฟุตบอลเหลืออยู่ข้างเดียว ไม้ไผ่ที่ทำราวข้างบนไม่รู้ใครเอาไป พอฝนตกเรามักเล่นแข่งฝนอยู่บนอาคารเรียนก็มีสิทธิ์เปียกเท่ากัน เหตุเพราะหน้าต่างกับประตูไม่มี อาศัยโต๊ะขาหักตีกั้นไว้แทนฝา รถเบรกกระทันหันแล้วจอดนิ่ง ทุกคนยืนขึ้นเกือบพร้อมกัน “ตัวนี่แหละที่เขาเอาเนื้อไปหลอกขายบ้านเรา โกหกว่าเป็นเนื้อเก้ง” ...เสียงดังลอดออกมาขณะที่ทุกคนมองดูสัตว์ตัวขนาดเท่าสุนัขโดเบอร์แมน ทำหน้าสลอนเต็มถนนด้วยความตกใจปนสงสัยจากเสียงเบรก บางตัวไม่สนใจ..กินหญ้าบนเขาสูงชันกว่าพื้นเกินสิบเมตร “มันขึ้นไปได้อย่างไร” มีเสียงสงสัยดังขึ้น “ก็ลงไปถามมันดูซิ” เสียงฮาสนั่นพร้อมกัน ความหวาดเสียวกลายเป็นความสนุกไป ถึงว่า..ทำไม? ชาวนาประเทศนี้จึงทำรั้วมิดชิดอย่างดี

oooooฝนตกปรอยๆ รถวิ่งเอื่อยๆ ขึ้นลงตามความสูงชัน ถนนที่แคบคดเคี้ยว นานๆ จะมีรถสวนสักคัน เหวลึก 2 ข้างทางมีสายน้ำไหลเชี่ยวกรากไม่ขาดสาย แสดงให้เห็นว่าวันสองวันนี้มีฝนตกหนัก ช่วงที่น้ำไหลผ่านถนนจะมองไม่เห็นสะพาน แต่มีท่อขนาดใหญ่คล้ายบล็อกคอนเวอส..ที่ทำทางรอดน้ำทั่วไปเหมือนถนนบ้านเรา ช่องแคบระหว่างภูเขามีการสร้างกำแพงกั้นดินพังถนนกำลังซ่อมแซมเป็นระยะ ทั้งถมใหม่บดอัดขยายให้กว้างขึ้น “ขณะนี้เรากำลังผ่านโรงผลิตไฟฟ้าน้ำเทิน ที่คนไทยมาลงทุนแล้วนำกระแสไฟฟ้าไปใช้บ้านเรา ลาวซื้อกลับคืนมาใช้” บีอาร์ประกาศหลังยึดไมค์คืนกลับมา “ห่างจากนี้ไปทางทิศเหนือประมาณ 20 กิโล...ห่างจากคำม่วน 70 กิโลเมตร ก็มีการสร้างเขื่อนน้ำเทิน 2” ลงทุนหลายหมื่นล้าน ไทยและลาวต่างได้ประโยชน์ทั้งแรงงาน ขายอาหารให้กับคนที่มาทำงาน เริ่มก่อสร้างปี 2004 จะเสร็จก็ปี 2009” รถวิ่งสูงขึ้นมองลอดหน้าต่างลงมาเห็นชุมชนโครงการเขื่อนน้ำเทิน มีทั้งสนามกอล์ฟ บ้านพักคนงาน ร้านอาหาร มองดูเหมือนหมู่บ้านจัดสรร เวิ้งกว้างบริเวณทั้งหมดคาดคะเนราว 500 ไร่ รอบนอกรั้วมีบ้านเรือน พื้นที่การเกษตร น่าจะเป็นชาวบ้านที่อพยพมาขายแรงงานสร้างเขื่อนแล้วไม่ยอมกลับ คงถือโอกาสสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยต่อไป หมู่บ้านแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาอันสูงชันเป็นกำแพง ที่ผ่านมาว่าสูงแล้ว เขาสี่ทิศที่นี่ยังสูงกว่า มองดูประมาณว่าไม่ต่ำกว่า 200 เมตร ทางด้านทิศใต้ของเขื่อนมีเขาลูกพกหนึ่งลักษณะพิเศษคล้าย “ศิวลึงค์” โผล่พ้นยอดเขาชี้ขึ้นท้องฟ้า “ขวามือนั่นเรียกว่าเขาตาเขายาย” สายตาเกือบทุกคู่มองหา เขายาย...ไกด์สาธยายว่า “เขายายอยู่คู่กัน แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้เพราะเราอยู่ต่ำกว่า” “อยากเห็นของยายจังเลยว่ะว่าจะใหญ่ขนาดใด๋” สจ.บางคนสวนขึ้น...

“อีกประมาณครึ่งชั่วโมง เราจะถึงจุดสูงสุด เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด คนไทยได้มาสร้างที่พักริมทางให้ 1 หลัง เรียกว่าคุณหมิงหรือเมืองท่าแขก หรือภูผาม่านเมืองหินบูน เราจะหยุดยิงกระต่ายและให้ทุกท่านได้ถ่ายรูปยึดเส้นยึดสายสักยี่สิบนาที” รถจอดข้างทาง มีที่ว่างเหมือนที่พักริมทางทั่วไป ทุกคนลุกขึ้นพร้อมกัน ถ้ารถมีหลายประตูคงกระโดดลงไปแล้ว ถ้าออกทางหน้าต่างได้คงทำกัน เพราะตั้งแต่รถออกจากท่าแขก ยังไม่มีใครได้ปลดทุกข์ จะอาศัยปั๊มน้ำมันข้างทางอย่าไปถามหา สุภาพบุรุษต่างวิ่งหาพุ่มไม้ใบหญ้าพอได้บัง คนใดทนไม่ไหวจริงๆ ยืนที่ไหนก็ปล่อยตรงนั้น สงสารก็สุภาพสตรีที่ยืนเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะหลบไปที่ใด ซ้ายมือเป็นเขา...ขวามือหุบเหว ปกคลุมไปด้วยหญ้า นั่งตรงนั้นก็ไม่ดี ตรงนี้ก็คน คงเป็นคำตอบสุดท้ายที่คุณศักดิ์ชายแนะนำเมื่อวานนี้ว่า...คุณแม่ทั้งหลาย...ถ้าอยากสะดวกให้นุ่งผ้าถุงวันเดินทาง เพราะผ้าถุงคือห้องส้วมเคลื่อนที่นี่เอง คุนหมิงหรือภูผาม่านเมืองลาว เป็นภูเขาซ้อนกันสูงต่ำสุดลูกหูลูกตา รูปทรงแตกต่างกันไปเหมือนคลื่นทะเล ถึงแม้มีสายฝนพรำๆ มาตั้งแต่เช้าและเมฆปกคลุมยอดเขาบางยอด ชั่งเป็นภาพที่จะมีศิลปินใดปั้นแต่งได้ จุดที่เรายืนเป็นจุดสูง จึงมองไปข้างหน้าได้สุดสายตา...

oooooศาลาริมทาง...ปูพื้นด้วยไม้เนื้อแข็งอย่างดี โครงไม้หลังคามุงกระเบื้อง มีม้านั่งรอบศาลาเป็นไม้ประดู่แผ่นเดียว กว้างราวสามสิบเซนติเมตร มีพนักพิง “อยู่บ้านเราไม้ถูกขโมยไปทำเถียงนาหมดแล้ว...ไม่เหลือหรอกอยู่กลางป่าแบบนี้” สจ.กะปิ (สจ.สุขุม ไชยภักดี) ส.อบจ.เขตอำเภอเรณูนครตั้งข้อสังเกต “วรรณกรรมฝาผนัง...ฝากรักถึงกัน แสดงความเป็นเจ้าพ่อคงเต็มไปหมดแล้ว” สจ.ดาบชัย...เสริม “แถวบ้านเราคงมีธงเหลือง ธงแดง แสดงอาณาเขตวัด ชาวบ้านแห่มาขอเลขเด็ดกันไม่ขาดสาย” ป้ายข้างทางเขียนว่า “ป่าสงวนแห่งชาติภูหินบูน เขตเมืองหินบูน” แสดงว่าคณะเราอยู่ตรงข้ามกับอำเภอท่าอุเทน เที่ยงแก่ๆ รถวิ่งเข้าเขตเมือง ดูสภาพคล้ายอำเภอ มีตึกสองชั้นให้เห็นบ้างสองข้างทาง “เราขอนำท่านเข้าเขตอำเภอหลักซาว รอยต่อระหว่างลาวกับเวียดนาม ถือว่าเป็นเมืองเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของลาว เศรษฐีใหม่ร่ำรวยจากเมืองนี้หลายราย จากการค้าไม้ทั้งระหว่างไทยและเวียดนาม เป็นที่พักสินค้าถูกไม่ถูกกฎหมาย เป็นเมืองที่ทหารจีไอ ทหารรับจ้างไปรบเวียดกงมาตั้งค่ายยุคสงครามแย่งลัทธิ เราจะกินข้าวเที่ยงที่นี่ “ทางทัวร์ได้จัดอาหารลาวไว้ต้อนรับท่าน” อาหารมื้อที่สอง...แผ่นดินที่สอง...เป็นอาหารพื้นบ้าน ลาบปลาแข้ ต้มปลากด ทอดปลากด ผักติ้ว ยอดกระถิน ตามด้วยไข่เจียว มีทั้งข้าวเหนียวข้าวสวยเรียกร้องเอาได้กับพนักงานเสริฟตามชอบใจ ผลไม้มีเงาะกับสัปปะรด ดูความสดมันคงเดินทางล่วงหน้ามาจากฝั่งนครพนม ก่อนเราประมาณสองคืน “ใครจะเอายาดองบ้างสั่งได้เลย” รองสมชอบ (สจ.สมชอบ นิติพจน์ รองนายก อบจ. คนที่ 1) ตะโกนถามพวกคอเดียวกัน จากขวดกลายเป็นสอง...สาม...สี่...เสียงแซวดังข้ามโต๊ะแบบไม่เกรงใจใคร รสชาติอาหารร้านโอลีวันพอกล้อมแกล้ม แต่เสียงแย่งกันจีบสาวเสริฟอร่อยกว่ารสอาหารเสียอีก “อีนางเจ้าซื่อหยัง มีเบอร์โทบ้อ ไปเวียดนามนำอ้ายบ่” เสียงแข่งกันแสดงความเป็นเฒ่าหัวงูเพราะฤทธิ์ยาดองต่ออายุไปได้อีกมื้อหนึ่ง สจ.หลายคนติดลมเดินไปฝั่งตรงข้าม...เป็นเซเว่นอีเลเว่นเมืองหลักซาว ผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาด มีน้ำเปลี่ยนนิสัยติดมือ่ขึ้นรถคนละขวดสองขวด ทั้งเหล้า ทั้งเขยลาว (เบียร์ลาว) จากสอบถามเจ้าของร้านว่าจากนี่ไปถึงแดนเวียดนามห่างกันถึงสามสิบห้ากิโลเมตร คำว่าซาวก็คือยี่สิบ คนสมัยก่อนคงคาดคะเนเอา จึงตั้งชื่อว่าอำเภอหลักซาว แขวงบอริคันไซ “ต่อจากนี้ไปจะนำท่านสู่การเดินทางที่โหด...มัน...ฮา...และเสียวตลอดทาง” ออกจากตัวเมืองพอได้เห็นทุ่งนาบ้าง ภูเขาตามเส้นทางเป็นเขาดินมากกว่าเขาหิน ค่อนข้างเตี้ยกว่าเมื่อเช้า หินกรวดตามไหล่ทางแต่ละลูกใหญ่เท่าลูกมะพร้าว คงเป็นหินที่นำมาถมถนน จากสังเกตไม่ได้นำมาจากที่อื่น คงตักขึ้นมาจากข้างทาง “สวัสดีครับ ท่านผู้ฟังที่มีอุปการคุณทุกท่าน เสียงนี้คือเสียงจากวิทยุชุมชนคนน้ำบังครับ ต่อจากนี้ไปทางสถานีขอเสนอรายการ เพลงยามบ่าย ฝากให้พี่น้องที่กำลังดำนาอยู่ในขณะนี้ และฝากเป็นพิเศษกับสาวเมืองหนองบก แขวงท่าแขก ถ้าได้ฟังแล้วก็อย่าลืมอ้ายคำยอด ผู้ฝากมาเด้อ เชิญรับฟังครับ”
oooooเสียงเพลงดังขึ้นอย่างสนุกสนาน เสียงตำจอก...กรึบ...กระรึบกรึบๆ... ทั้งท้องถิ่นจังหวัด (นายปัญญา มีธรรม)...รองกอ. (นายทันใจ ณ รังศรี)...รองประธานสภา ส.อบจ.เขตอำเภอศรีสงคราม...สจ.คำยอด...สจ.เอ (นายพงษ์เทพ โรจน์วิรัตน์) ส.อบจ.เขตอำเภอธาตุพนม...สจ.ต่อ (นายต่อศักดิ์ ควรมงคลเลิศ) ส.อบจ.เขตอำเภอเมือง ต่างดวลเพลงต่อเพลงชนิดไม่มีใครยอมใคร ท่านประธานสภา...รองแหม่ม (น.ส.จินตนา กุลากุล) รองประธานสภา ส.อบจ.เขตอำเภอนาแก สจ.เทพเทวดาสองตัว (นางเทพเทวา นิติพจน์) ส.อบจ.เขตอำเภอปลาปาก...ผู้บังคับแข็งรองสมชอบ...ก็ดังขึ้นทางด้านหน้าในเวอร์ชั่นประสานเสียง

ผู้อาวุโสหลายท่านข้าวเรียงเม็ด ยาดองหมดฤทธิ์...ทำหัวสั่นหัวคลอน โยกซ้ายเอนขวาไปตามแรงเหวี่ยงของรถที่ขับเคลื่อนตามทางคดเคี้ยว ช้าบ้างเร็วบ้างในความลาดชันของถนน เสียงประสานเพลงแผ่วลงตามระยะเวลาที่เดินทางร่วมสองชั่วโมง มีเสียงท่อโรงสีดังสลับมาแทน พอหันกลับไปดูถึงรู้ว่าเจ้าของสถานีวิทยุ สจ.คำยอดคอพับกับเบาะ...มีเสียงกรนเป็นคลื่นแทรกรบกวน คณะสาวสาวสาวที่ประสานเสียงอยู่ข้างหน้า “โกดังสองข้างทางที่ท่านมองเห็น” เสียงไกด์ประกาศขณะรถไต่เขาสูงชันขึ้นเรื่อยๆ เป็นคลังสินค้าปลอดภาษีหรือตลาดมืด ส่วนใหญ่เป็นของพ่อค้าไทยมาลงทุนร่วมกับคนลาว...คนเวียดนาม สินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าวสารชั้นดี คนรวมทั้งสองประเทศต้องการมากถ้าเป็นสินค้าไทย สายตางัวเงียมองดูอาคารสั้นยาวเรียงรายข้างถนน ทั้งรถตู้คอนเทนเนอร์ รถบรรทุกสิบล้อ...หกล้อ...ปิ๊กอัพ...รถจิ๊ปใช้ในราชการ ต่างสาระวนกันการขนของขึ้นลงแบบแข่งกับเวลา โทรทัศน์...ตู้เย็น...เครื่องเสียง ยี่ห้อต่างๆ ขนขึ้นโกดังขนลงใส่รถบรรทุกเหมือนมดขนไข่หนีฝน “อีกไม่เกินสามกิโล...เราจะถึงด่านน้ำพราง เป็นด่านสากลของลาว รถจะจอดเพื่อตรวจเอกสารผ่านแดนประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านใดจะปลดทุกข์เชิญด้านขวา ส่วนซ้ายมือเป็นร้านอาหารขายทุกอย่าง ทั้งสินค้าไทยและลาว”

รถทุกคันที่จะผ่านไปเวียดนามต้องจอดหลังเชือกผูกวัวที่เก่าและขาดต่อกันสามช่วง แต่ทรงฤทธานุภาพ สามารถให้รถหยุดเพื่อตรวจค้น ไม่มีอภิสิทธิ์ชนใดๆ ทุกคันต้องจอดหลังเชือกสูงจากพื้นแค่ศอกเดียวตรวจเสร็จเจ้าหน้าที่จะหย่อนเชือกลงพื้นเป็นสัญญาณให้ผ่านได้ รถทัวร์ของคณะเราก็เช่นเดียวกันจอดนิ่งจนกว่าจะตรวจเอกสารเสร็จ ยกเว้นรถบรรทุกหมาผ่านได้โดยไม่ต้องตรวจค้น ลูกทัวร์เอสพีบีอาร์กรูกันลงรถ เป้าหมายคือ...ขวามือออกจากหลักซาวมา ทั้งเบียร์...ทั้งเหล้า...ยังไม่ได้ขับออกจากร่าง ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปทิวทัศน์ ตุนเสบียงอาหารขึ้นรถ ด่านตรวจคนเข้าเมืองถึงคนผ่านแดนไม่มากนัก แต่ทำไมการตรวจเอกสารถึงนานนัก มารู้ทีหลังว่าคณะที่เดินทางทั้งหมด 42 คน แล้วหายไปไหนอีก 7 กว่าจะเจรจาได้ร่วมชั่วโมง รถจึงได้เคลื่อนตัวออกจากด่านวิ่งขึ้นเขาประมาณ 300 เมตร มองเห็นอาคารรูปทรงเดียวกันกับของลาว “ข้างหน้าคือด่านเก่าแจว เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองของเวียดนาม อาคารทั้งสองหลังนี้สร้างในปีเดียวกันโดยรัฐบาลเวียดนามเป็นคนออกเงิน รถจะจอด 20 นาที เพื่อตรวจเอกสาร ที่นี่ตรวจเร็วกว่าลาวเพราะผมเป็นเวียด...พูดกับคนญวณเข้าใจง่ายกว่าลาว” บีอาร์คุยอวดลูกทัวร์

oooooด่านเก่าแจว...ตั้งอยู่บนเขาเจืองเชิน เขตแดนลาวเวียดนาม สูงกว่าระดับน้ำทะเล 300 เมตร แต่มองไม่เห็นด่านน้ำพราง เพราะถูกบังจากเขา มองไปรอบข้างมีเขากั้นทุกทิศ มองเห็นแต่ต้นไม้...ยอดเขาและท้องฟ้า เจืองเซิน...อีกชื่อคือเขาหลวง เป็นเขาที่คอยเป็นกำแพงต้านภัยให้กับลาวและไทย เมื่อพายุไต้ฝุ่นหรือดีเปรสชั่นที่ขึ้นจากฝั่งเวียดนามไม่น้อยกว่า 200 ลูกในแต่ละปี พอลมปะทะเขา...ทิศทางก็เปลี่ยนก่อนที่จะถึงไทยและลาว ทำให้อ่อนตัวลงจากภัยพิบัติของลมจากฝั่งทะเลแปซิฟิก “จากนี้ไปจะพาทุกท่านเสียวตลอดทาง” เสียงไกด์ดังขึ้นเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากด่าน “ขอให้ทุกท่านทำตัวให้สบาย คนขับชำนาญเส้นทางนี้มากกว่าที่ผ่านมาในลาว”

oooooรถวิ่งลงเขาที่คดเคี้ยว ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางเก่าที่กษัตริย์ของญวนใช้เป็นเส้นทางล่าสัตว์ มีการปรับปรุงมาหลายยุคตั้งแต่สงครามฝรั่งเศสล่าอาณานิคมถึงสงครามแย่งเวียดนาม ตามร่องรอยที่เห็นกำลังสร้างสะพานให้กว้างขึ้น เพื่อให้รถวิ่งได้สะดวกรอรับมนุษย์ต่างเชื้อชาติที่จะเดินทางมาเยือนในอนาคต รถไต่หน้าผาอ้อมลูกเขาวนขวา ซ้ายมือเป็นเหวลึก...ลึกจนมองไม่เห็นพื้นดิน “เหมือนกับนั่งเฮลิคอปเตอร์เปิดหน้าต่าง...สมัยเป็นทหารไม่มีผิด แต่มันเสียวสุดๆ ถ้ารถแหกโค้งลงไปไม่รู้ใครจะลงไปช่วย” สจ.วิไล (นายวิไล ประกิ่ง) ส.อบจ.เขตอำเภอนาหว้า...เบือนหน้าหนีจากหน้าต่างแล้วปิดม่าน ตั้งแต่ออกด่านมายังไม่มีรถวิ่งสวน เห็นแต่รถเครนและคนงานก่อสร้างสะพานซ่อมถนนแบบไม่ใยดีต่อคณะผู้มาเยือน ต่างขะมักเขม้นกับงานของตัวเอง รถแบ๊คโฮบางคันมองเห็นลิบๆ บนยอดเขา จากความโหด...มัน...ฮา...กลายเป็นความอึ้ง...ทึ่ง...เสียวแทน “มันขึ้นไปได้อย่างไร? มันขึ้นไปทำอะไร? บริษัทใดว๊ะ...เป็นผู้รับเหมา...หรือว่าเป็นมหาราชก่อสร้างเมืองญวร” เสียงฮาสนั่นแซว สจ.แหล้ (นายบุญกาญจน์ มหาราช) ส.อบจ.เขตอำเภอเมือง ถึงแม้คลายความเสียวลงบ้าง แต่ไม่คลายสงสัยภาพของรถตักดินกำลังพังเขาลงมาขยายถนนเสริมไหล่ทาง ทำขั้นบันไดจากตีนเขาถึงยอดเขาเพื่อปลูกต้นไม้กั้นดินถล่มทับถนน มองเห็นแล้วผู้รับเหมาจากเมืองไทยบ่นว่าราคาเท่าไหร่ก็ไม่ทำ เพราะคงจ้างคนขับรถแบ๊คโฮไม่ได้ รถวิ่งวนเขาหลายสิบลูก ต่ำลงเรื่อยๆ มองเห็นชุมชนมนุษย์หลังคาหลากสีอยู่ข้างหน้า...ทำให้ความเสียวหด ความตื่นเต้นเขามาแทนที่ ผมตื่นเต้นจนแทบกลั้นลมหายใจ อดคิดถึงใครต่อใครที่ไม่ได้มา ไม่เคยคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะได้มาเหยียบแผ่นดินที่คนเป็นเจ้าของแท้ๆ ยังทิ้งบ้านเรือนหนีตาย ไปอาศัยใบบุญประเทศอื่น...เวียดนามที่เราเคยได้ยิน...ได้เคยเห็นในแผนที่ ประเทศที่เคยกึกก้องด้วยเสียงปีศาจสงครามร้อนที่ห้ำหั่นกัน ความดุเดือดเลือดท่วมจากจำนวนระเบิดที่ทิ้งถมลงไปมากกว่าห้าร้อยล้านตัน ขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองถล่มรวมกันแล้ว...แค่สองล้านตัน สหรัฐอเมริกาเสียทหารที่เป็นคนหนุ่มสาวไปถึง 500,000 คน แม้ไม่ทราบความสูญเสียของเวียดนาม แต่ก็พอคาดเดาได้ว่า...มหาศาล...ผ่านชนบทที่มีแม่น้ำสองสายคู่ขนานไปกับถนน เราเข้าสู่เมืองมนุษย์ใจอึด...พันธุ์ขยัน ปลูกผักสวนครัวล้อมรอบบ้าน มองออกไปจากแนวลำน้ำสุดลูกตา...คนและสัตว์เลี้ยง...สาระวนทำหน้าที่ แปลงนี้ปลูกข้าว...แปลงนี้ปลูกถั่ว...แปลงนั้นเหลืองจวนเก็บเกี่ยว...แปลงนี้เก็บเกี่ยว แปลงโน้นตกกล้า...ปักดำ ตามถนนและลานบ้าน ผลผลิตตากจนหาที่ว่างไม่มี เรียงรายไปตามความยาวของสองฝั่งถนน เมื่อมองประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เวียดนามได้ต่อสู้กับการรุกรานและครอบงำจากจีนก็ร่วมพันปี ถัดจากนั้นยังถูกเข้าครอบครองโดยฝรั่งเศส ตามด้วยสัปยุทธ์กับอภิมหาอำนาจอย่างอเมริกาที่เพิ่งจะยุติลงแทบจะยังไม่สิ้นกลิ่นดินระเบิด ทำให้เกือบทุกประเทศไม่กล้าเข้ามา...เพราะกลัวเหยียบหลุมมหันตภัย ทุกชีวิตจึงมีธรรมชาติเป็นนักรบ ส่งผลให้ความเป็นเวียดนามเข้มข้น ไม่ว่าจะเรื่องความขยันและหวงแหนผลประโยชน์ของตนอย่างไม่ยอมเสียเปรียบใคร อันเห็นได้ชัดเจนในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเป็นเวียดนามในประเทศไทย ตื่นตีสี่...นอนตีสาม ทำทุกอย่างที่เป็นเงิน ไทยใหม่บ้านเราจึงขึ้นอยู่ตึก เป็นเจ้าของกิจการแย่งความสุขสบายจากเจ้าของประเทศได้ไม่ยากเย็น เข้าตำราสู้แล้วรวยเพียงไม่กี่ทศวรรษ ผืนดินทุกตารางนิ้วไม่มีที่ว่าง พันธุ์ไม้หลายชนิดต้องแทรกในดินแปลงเล็กๆ แบ่งซอยให้เหลือปลูกข้าวมากที่สุด คันนาจึงดูเล็กจิ๋ว

oooooนอกจากปลูกข้าวเป็นส่วนใหญ่แล้ว ยังเห็นมีบางแปลงปลูกพืชจำพวกถั่วและบัว เหมือนๆ กับที่เคยเห็นแถวสุพรรณบุรีและอยุธยา ปลูกข้าวทั้งปีเหมือนนครสวรรค์ แต่ที่สะดุดตาเอามากๆ ก็คือ...บนคันนาที่ดูเล็กจิ๋วอยู่แล้ว ยังมีการปลูกพืชผักสวนครัวจำพวกฟักแฟง แตงร้าน ถั่วฝักยาว โหระพา ข่า ตะไคร้ กระทั่งข้าวโพด แสดงให้เห็นถึงการใช้ที่ดินไปอย่างเข้มข้นและคุ้มค่า พื้นที่สองฝั่งถนนเป็นบ้านเรือน หลังบ้านเป็นเขตเกษตรกรรม หากจำนวนบ้านเรือนดูหนาขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งชิดตัวเมืองเข้าไปยิ่งแออัด ห้องแถวก่ออิฐเป็นส่วนใหญ่ แต่ละห้องดูคับแคบ กว้างคงไม่เกินสามเมตร หากยาวลึกเข้าไปด้านหลังและสูงขึ้นไปในอากาศตามฐานะ การปลูกห้องแถวในลักษณะนี้มีให้เห็นทั่วไป ตั้งแต่เขตชนบทจนถึงเมืองวินท์ บ้านหลังสูงเกินสองชั้นจะมีสายล่อฟ้า ถามถึงเหตุผลคนนำทางว่า...เป็นประเพณีหรืออย่างไร เขาตอบว่าไม่ใช่ เหตุผลจริงๆ คือความยากจน เคยถูกธรรมชาติลงโทษมาบ้างแล้ว เพราะอยู่ใกล้เขาและทะเล รัฐแบ่งดินให้จำกัด บ้านจึงดูคับแคบ

oooooห้วงเวลาที่เราเข้าถึงตัวเมืองเป็นช่วงเลิกงาน จักรยานและมอเตอร์ไซด์ทะลักท่วมถนน ยิ่งฝ่าลึกเข้าไปเท่าใด รถยนต์ก็ยิ่งกลายเป็นยวดยานส่วนข้างน้อย จึงต้องคอยชะลอเพื่อหลบหลีกให้กับบรรดาสองล้อเจ้าถนน และฝูงคนผู้ไม่สนใจกับกฎจราจร อยากเดินข้าม...อยากเล่นตะกร้อ...ตีแบด...เตะบอล...อาศัยถนนเป็นสนาม คงเข้าใจว่าพื้นที่ทุกส่วนเป็นของกลาง ยวดยานต่างหากที่ต้องคอยระวัง คงเป็นคำตอบที่ดีว่า...เหตุที่รถของเราถูกจำกัดเวลาวิ่งเพียงแค่สามสิบห้ากิโลต่อชั่วโมง...เพราะอะไร? เห็นแล้วก็ไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้คงไม่มีชาติไหนอีกแล้วที่จะมีความสามารถใช้จักรยานได้อย่างคุ้มค่าเท่าคนเวียดนาม บรรทุกข้าวของทั้งหน้าและหลัง รถมอเตอร์ไซด์บรรทุกควายเป็นตัวมัดติดเบาะ รถยนต์ก็มีความสนุกสนานกับการกดแตรแข่งกันเหมือนวงดนตรีประสานเสียง ถ้าเป็นบ้านเราสังคมด้อยระเบียบแบบนี้คงทะเลาะกันตาย กว่าพาหนะของเราจะกระดึบเข้าถึงโรงแรมเฟืองดงของเมืองวินท์ที่พักคืนแรกได้ ท้องไส้ปั่นป่วนไปตามๆ กัน “คืนนี้...ถ้าใครอยากชิมดีหมีให้บอกผม ใครได้กินดีหมีดองเหล้า รับรองคืนนี้ไม่ได้นอน” อาหารเย็นหนึ่งทุ่มตรงที่ห้องอาหารชั้นล่างของโรงแรม ท่านผู้ว่าจังหวัดเงอานจะมาร่วมกินข้าวเย็นด้วย ใครจะเที่ยวไหนให้บอกกับชัย (นายสุรชัย รัตนสกุลชัยกิจ) ลูกชายผมเกิดที่นครพนม เรียนจบปริญญาที่กรุงเทพ กำลังศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยวินท์ และบอกคุณทันลูกสาวผมที่เดินทางมากับคณะวันนี้ บอกกับอุ๊ดหลานชายเป็นคนเวียดนามแต่พูดไทยได้ เป็นคนนำทางและขอให้ไปเป็นกลุ่ม หน้าโรงแรมจะมีแท็กซี่ขนาดที่นั่งสี่คน และเจ็ดคนถึงสิบคนไว้คอยบริการราคาตามมิเตอร์ ไกลสุดคงไม่เกินสองแสนโด่ง (285 บาทต่อ 1 แสนโด่ง) ส่วนห้องพักของเราจัดไว้เป็นห้องนอนคู่ ใครจะนอนกับใครให้บอกด้วย บีอาร์นัดแนะลูกทัวร์ขณะที่รถจอดหน้าโรงแรมหรูระดับห้าดาวสูง 10 ชั้นที่สร้างมาไม่เกินห้าปี อาหารเย็นมื้อแรกของชีวิตในเวียดนาม และเป็นอาหารมื้อที่สองของประเทศที่สาม ในวันนี้เริ่มขึ้นตามเวลานัดหมาย แต่ไม่เห็นคณะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาต้อนรับและกินข้าวเย็นด้วย เพียงแต่คนนำทางแสดงความเสียใจต่อพวกเรา และแจ้งว่าเจ้าเมืองเงอานสูญเสียคุณแม่ในวันนี้ จึงมาไม่ได้ พรุ่งนี้จะให้คณะมาต้อนรับแทนในตอนเช้า...ทุ่มเศษๆ เหล้าสกุลเหงียนผสมดีหมี ขับกล่อมด้วยดนตรีเวียดนาม กำลังออกรส ส.ส.ไพจิต ศรีวรขาน...ส.ส.ศุภชัย โพธิ์สุ (ครูแก้ว)...และคุณนาย (ครูตุ๋น)...รองผู้ว่าธีรเดช วงษ์ราช...พล.ต.ต.เจิมศักดิ์ หอมหวน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม...ทนายตั้ม (สจ.ว่าที่ ร.ต.ถิระวัฒน์ จำปาไชยศรี) ส.อบจ.เขตอำเภอท่าอุเทน...พร้อมด้วยนายกเดือน...(คุณมนพร เจริญศรี) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม คณะอันทรงเกียรติคณะเล็กแต่ฟอร์มใหญ่ มาถึงเฟืองดงโดยสวัสดิภาพ คณะทั้ง 7 คนติดภาระอันสำคัญที่จะต้องต้อนรับ ฯพณฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ฯพณฯ พินิจ จารุสมบัติ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากกระทรวงเกษตร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางมานครพนมเพื่อลงนามในโครงการพัฒนาสัตว์น้ำเศรษฐกิจของไทยเพื่อการส่งออก (ปลาเผาะ) ตามโครงการนำร่องของ อบจ.นครพนม ซึ่งทุกท่านล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องจึงเดินทางมาสมทบทีหลัง รสชาติอาหาร...อ่อนพริกน้ำปลา...ในเบื้องต้น...แต่ฤทธิ์ดีหมีกำลังแผ่ซ่าน ต่างไชโยโห่ร้องปรบมือต้อนรับคณะ ทำให้เสียงนักร้องสาวสวยที่กำลังขับกล่อมสิ้นมนต์ขลังลงทันที ต่างหันมาทายทักกันฟังไม่ได้ศัพท์ ทำให้บรรยากาศการดื่มการกินคืนแรกมีสุขและคึกยิ่งขึ้นเท่าทวีคูณ เป็นเพราะดีหมีหรือดีกรีน้ำเปลี่ยนนิสัย สจ.หายไปทีละกลุ่ม เป้าหมายก็คงไม่แตกต่างจากพฤติกรรมดั้งเดิม ร้านเหล้า บาร์ดิสโก้ คาราโอเกะ อาบอบนวด ฯลฯ ตามแต่รสนิยม สี่หนุ่มสี่มุม มีผม...รองธีรเดช...ผู้การตำรวจ...และบีอาร์ หลังจากถูกทิ้ง...คนที่มีคู่มาด้วยก็เฉลิมฉลองบรรยากาศกลิ่นอายต่างประเทศ คนที่ไปข้างนอกก็คงมีความสำราญไม่แพ้กัน เดินตามถนนหน้าโรงแรม เลี้ยวขวาเพื่อดูความเงียบสงบยามราตรีของเมืองวินท์ว่าจะแตกต่างจากนครพนมอย่างไร ผู้คนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยาน มอเตอร์ไซด์เป็นคู่ๆ มีร้านข้าวต้มริมถนนบ้าง ประตูร้านค้าหลายแห่งเปิดแง้ม ยกโต๊ะเตี้ยระดับเข่าเข้าชุดกับตั่งแบบพอเหมาะกับการนั่งยองๆ นำมาตั้งบนทางเท้าหน้าร้าน บนโต๊ะจุดตะเกียงวอมแวมต้อนรับขาบุหรี่ที่นิยมชวนกันมานั่งล้อมวง ถุนยากันเป็นกลุ่มๆ ส่วนใหญ่เป็นคนในวัยทำงาน บางโต๊ะก็เหมือนชมรมของผู้สูงอายุ นั่งดื่มชาคุยกันในท่าสบายๆ ข้างโต๊ะจะมีบ้องกัญชาวางอยู่เคียงข้าง ยาแดง...เป็นยาเส้นที่ปลูกเอง ใช้บ้องสูบเหมือนกัญชาไม่ผิดกฎหมาย มีเกือบทุกร้านทั้งยาดอง...ยาเส้น ที่ฮานอยเราจะเห็นมากกว่านี้ คนนำทางคลายความสงสัย “อนุสรณ์สถานลุงโฮเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองวินท์ ต่างภาคภูมิใจเพราะเป็นบ้านเกิดโฮจิมินห์ กิจกรรมต่างๆ ของชาวเมืองจะมากันที่นี่เหมือนกับสวนชมโขงบ้านเรา หรือไม่ก็สวนลุมพินีที่กรุงเทพ เนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 10 ไร่ แบ่งเป็น 4 ส่วน ส่วนที่ 1 เป็นหนองน้ำที่เรามองเห็นด้านหลัง เป็นสวนสนุกสำหรับเด็ก มีจักรยานน้ำเหมือนสวนทั่วไป ถัดมาคือเนินดิน คงจำลองแบบให้เหมือนภูเขาสูงราว 10 เมตร รูปเหมือนลุงโฮที่เราเห็นทำด้วยหยก ราคา 19 ล้านบาท สูง 19 เมตร โฮจิมินห์...เกิดวันที่ 19 เดือน 5 จึงถือเอาเลข 19 เป็นเลขมงคล” ลูกหลานลุงโฮที่เกิดบนผืนดินไทย อธิบายต่อหน้าแผ่นป้ายมต้แท่นลุงโฮ บริเวณที่เหลือแบ่งครึ่งระหว่างลานคอนกรีตกับสนามหญ้า ลานปูนมีสองชั้น ต่อจากรูปเหมือนคล้ายเวทีกลางแจ้ง กว้างสิบ...ยาวสามสิบเมตร มีบันไดขึ้นลงคล้ายอัฒจันทร์ ใช้ประโยชน์ได้สองอย่าง กลุ่มคนมีอายุนั่งคุยกันตามขั้นบันได สนามหญ้าเป็นส่วนสุดท้าย ต่อจากรั้วด้านนอกติดถนน พื้นที่ราว 15 ไร่ ใช้เป็นทั้งลานกีฬา...พักผ่อนหย่อนใจ แต่ที่น่าแปลกใจ...ระบบไฟฟ้าติดทั่วสนาม แต่เปิดเพียงบางดวง สอบถามจากยามได้ความว่าทางการสั่งให้ปิด เพราะน้ำในเขื่อนน้อย ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่พอใช้ตามถนนก็เช่นกัน ร้านค้าจึงมีการจุดตะเกียงวอมแวม หนุ่มสาวนั่งคลอเคลียใต้ต้นไม้ที่ขึ้นบางตา ไม้ยืนต้นก็คล้ายกับต้นไม้บ้านเรา มีทั้งประดู่ใบอ่อน ต้นตีนเป็ด กระถินเทพา เป็นส่วนมาก ภายในบริเวณสวนด้านหลังตามแปลงไม้ดอกไม้ประดับก็เช่นเดียวกัน มีสาวน้อยประแป้ง บอนสีต่างๆ โกสน ดาวเรือง และบานไม่รู้โรย อายุการปลูกคงไม่เกินสามปี การแต่งกายของคนหนุ่มสาวที่นี่ก็ไม่แตกต่างวัยรุ่นริมเขื่อนนครพนม มีทั้งสายเดี่ยว...เสื้อกล้ามหลากสี...”นั่งรถจักรยานยนต์เข้ามาจอดเป็นระเบียบในที่ให้จอด บ้างก็ยืนคุยโทรศัพท์มือถือ อวดความทันสมัย หนุ่มสาวที่เห็นเป็นลูกคนมีเงินเศรษฐีใหม่ กำลังก้าวตามกระแสทุนนิยม เมืองวินท์...เป็นศูนย์กลางการศึกษาของภาคกลาง ลูกหลานหัวก้าวหน้าที่มีโอกาสจะมาเรียนที่นี่ เมืองการศึกษา...แหล่งอบายมุข...ความทันสมัยก็ตามเด็กมาเหมือนบ้านเรา เพียงแต่ค่าใช้จ่ายยังไม่ฟุ่มเฟือยนัก ลูกผมใช้เงิน 5-7 พันบาทต่อเดือน ตอนมันเรียนอยู่กรุงเทพฯ แค่ปริญญาตรี...หมื่นห้าถึงสองหมื่นต้องหาให้มัน”

oooooท่านผู้การสังเกตเห็นไหมครับว่า รถแต่ละคันชายคู่หญิงที่นี่มีกติกาครับ ถ้าชายคู่ชาย...ห้ามเข้าสวนสาธารณะ เวียดนามไม่มีกระเทย ครอบครัวใดมีลูกเป็นกระเทยจะถูกตราหน้าว่าอัปปรีย์จัญไร ต้องไล่ลูกออกจากบ้าน และห้ามนั่งคุยกันในสวนเวลาค่ำคืน ชายหญิงเป็นเรื่องปกติครับ จับคู่คุยกันในสวนถือว่าปลอดภัย...ประหยัดไม่เสียเงิน อย่ามองนานครับเขาถือว่าเสียมารยาท คงจริงอย่างผู้จัดการทัวร์พูด เพราะตามรายทางตั้งแต่ด่านเก่าแจวถึงเมืองวินท์ ไม่พบเห็นร้านคาราโอเกะ ไม่เห็นรีสอร์ท โรงแรม แม้แต่ร้านเหล้ายังหาแทบไม่มี คงอาศัยสวนสาธารณะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจราคาถูก หลังเสร็จสิ้นภารกิจอันหนักหน่วงตลอดวัน เวียดนามมีข้อห้ามอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ให้ผู้หญิงทั่วไปมั่วบนโรงแรม ถือว่าผิดกฎหมาย ค่าปรับแพงมากครับ...ไม่คุ้ม

oooooสิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่าง คงเป็นวัฒนธรรมของคนที่นี่ เป็นเพราะค่านิยมข้อห้ามหรือไร จึงไม่เห็นวัยรุ่นนั่งจับกลุ่มล้อมวงกินเหล้า แหกปากตะโกนร้องเพลง โยนแก้วปาขวด เมาแล้วขับรถซิ่งแข่งกัน สร้างความวุ่นวายให้ชาวบ้าน

ooooo“ความยากจน...ความเจียมตัว...สังคมปิด...เคารพกฎหมาย...ศรัทธาบรรพบุรุษ...ฟังพ่อแม่...เชื่อครู...สังคมก็เป็นสุข ข้อคิดทฤษฎีของไทยน่าจะเหมาะกับวิถีคนเวียดนาม” ท่านรองธีรเดช เปรียบเปรยให้ฟังก่อนแยกกันเข้านอน

oooooเสียงโทรศัพท์จากผู้หวังดีที่วางอยู่หัวเตียงของหัวหน้าปัญญา (นายปัญญา มีธรรม) ท้องถิ่นจังหวัดนครพนม ปลุกให้ตื่น หลับตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้สึก เข้าใจเพียงแต่ว่าราตรีนี้ช่างสั้นนัก หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย คงอ่อนเพลียจากการเดินทางมหาโหดของเมื่อวาน มองดูนาฬิกาตีห้าสิบเก้านาที ผมเปิดม่านหน้าต่างดูผู้คนเมืองวินท์ในยามเช้า
oooooเสียงดังของโทรศัพท์คงไม่เข้าหูคนนอน เห็นนอนคลุมโปงต่ออย่างมีความสุขเลยไม่อยากรบกวน สงสัยหัวหน้าปัญญาคงคิดว่าบ้านนี้เมืองนี้เป็นของตนเอง เพราะเมื่อคืนหายไปกับคณะไม่รู้กลับตอนไหน สมัครเป็นเขยลุงโฮหรือเปล่าให้ตื่นก่อนจึงจะถามเอาคำตอบ

oooooผมรีบอาบน้ำเพื่อลบความสงสัยว่าวิถีชีวิตของคนเวียดนามยามเช้าจะเหมือนกับไทยใหม่นครพนมหรือไม่? ว่าตื่นเช้าแล้วลงมาที่ล๊อบบี้โรงแรม ส.อบจ.หลายคนยืนจับกลุ่มเล่าเรื่องโจ๊กกันเป็นที่ขบขัน หรือว่ายังไม่นอนกัน? หายไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้เพิ่งกลับมา “นอนไม่หลับสงสัยแปลกที่ แอร์ก็เย็นเกินไป ฝันไม่ดี ห้องผมสงสัยมีคนผูกคอตาย ผีผู้หญิงเข้าฝันทั้งคืน” หลายคนก็หลายความคิดแล้วแต่ใครจะคิดออก ผมชวน สจ.วิไล...สจ.เชี่ยว (สจ.เชี่ยวชาญ อินทะริง) ส.อบจ.เขตอำเภอศรีสงคราม เดินตามรอยเดิมเมื่อคืนนี้ไปสวนลุงโฮ คนเวียดนาม...คนจีน...คงไม่แตกต่างกัน ทั้งจีนไทย ญวนไทย ทุกกลุ่มอายุชอบออกกำลังกาย ลานคอนกรีตสนามหญ้าที่ว่างเปล่าเมื่อคืนนี้เต็มไปด้วยฝูงคน บ้างมาเป็นครอบครัวมาเป็นคู่มาเป็นกลุ่มเป็นทีม ดูได้จากชุดแต่งกาย บางคนยังอยู่ในชุดนอน ผู้ชายมักถอดเสื้อหรือสวมเสื้อกล้าม สิ่งที่สงสัยยิ่งทำให้ฉงนยิ่งขึ้น บ้านนี้เมืองนี้ไม่มีคนอ้วน ทุกเพศทุกวัยไร้พุงไม่สะสมไขมัน นั่งดูกิจกรรมยามเช้าชาวเมืองวินท์มองเห็นตะวันพ้นขอบฟ้าเหนือตึกสูงทางทิศตะวันออก ขณะเดินตามถนนมา เด็กกลุ่มหนึ่งเอาตะกร้อพลาสติกเตะแทนลูกฟุตบอล หันมามองพวกเราแล้วหยุดเล่น จ้องมอง สจ.เชี่ยว ผู้มีหุ่นอันน่าสัมผัสลูบไล้สะดือเล่นแทบไม่กะพริบตา “ฟิลิปปินส์” “โน ไทยแลนด์” “โอเย็ส ถ่ายลาน” แสดงให้เห็นการพัฒนาภาษาอังกฤษ และความกล้าของเด็กสมัยหลังสงครามเย็น ความวุ่นวายบนถนนยามเช้า เสียงแตรประสานกัน ยวดยานไหลไปมาไม่รู้จบ ความเอื้ออาทรต่อคนใช้รถใช้ถนนดูแล้วช่างเป็นภาพที่หาดูได้ไม่ง่ายนักในเมืองไทย

oooooหลังอาหารเช้าคณะเตรียมสัมภาระเสร็จ ทางทัวร์เชิญขึ้นไปห้องประชุมบนชั้นสองของโรงแรม ตัวแทนผู้ว่าเมืองเงอานนั่งคอยอยู่ก่อนแล้วห้าคน มีหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นชายอายุราว 50 ต้นๆ พาณิชย์จังหวัดเป็นสุภาพสตรีอายุใกล้เคียงกัน ตัวแทนหอการค้าพร้อมเจ้าหน้าที่กล่าวต้อนรับคณะแสดงความเสียใจที่ท่านผู้ว่ามาต้อนรับไม่ได้ เพราะท่านเดินทางไปจัดการงานศพคุณแม่ที่ต่างจังหวัด ส่วนรองผู้ว่าติดราชการที่กรุงฮานอย หัวหน้าสำนักงานจังหวัดบรรยายทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเวียดนาม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การท่องเที่ยว เกษตรกรรม โดยเน้นการปลูกข้าวส่งออก สุดท้ายเรื่องการจะนำสินค้าขายที่นครพนม ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ ในรายการแสดงสินค้าไทย ลาว เวียดนาม ขอเชิญชวนให้คนไทยช่วยอุดหนุนด้วย ท่าน ส.ส.ไพจิต ในฐานะหัวหน้าคณะกล่าวขอบคุณ มอบองค์พระธาตุพนมจำลองไว้เป็นที่ระลึกผ่านไกด์บีอาร์ที่เป็นทั้งคนนำทาง เป็นทั้งล่ามในตัวเสร็จ เก้าโมงเศษรถจอดบนลานกว้าง ถึงยังไม่สายนักพาหนะบรรทุกมนุษย์หลายชนิด จอดเรียงรายร่วมร้อยคัน เด็กขายของตะโกนแข่งกันเพื่อแย่งลูกค้า “รถจะจอด 30 นาทีเพื่อให้ทุกท่านได้ชมบ้านพักโฮจิมินห์สมัยเด็ก บ้านนี้เป็นบ้านตายายของลุงโฮ เราสามารถถ่ายรูป ซื้อของที่ระลึกทางด้านนอกได้ตามชอบใจ” บ้านหลังคามุงกระเบื้องฝรั่งเศสเป็นบ้านฝาขัดแตะที่คงสภาพเหมือนบ้านญวนอพยพยุคแรกที่เดินทางมาประเทศไทย พื้นที่ประมาณไร่เศษปลูกต้นไผ่ล้อมรอบ มีทางเดินเท้าเข้าสู่ตัวบ้าน มีไม้ประดับปลูกไว้สองข้าง บ้านคล้ายกระท่อมชั้นเดียวสองหลัง เป็นบ้านของตายายลุงโฮเมื่อครั้งยังเด็กหรือบางคนเข้าใจว่าเป็นบ้านเกิด ภายในตัวบ้านที่กว้างราวแปดตารางวา มีเตียงและข้าวของเครื่องใช้วางไว้ให้ดูเหมือนวายังมีคนอาศัยอยู่ คงนำมาเสริมแต่งให้เป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวในภายหลัง บริเวณด้านนอกรั้วด้านหน้าบ้านมีถนนคอนกรีตอย่างดีสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก เหมือนสินค้าโอท็อปบ้านเรา แต่สิ่งที่น่าแปลกใจผู้คนมาจากไหนมากมาย ที่เรามองว่าคนประเทศนี้คงไม่มีเวลาว่างจากการทำงาน ไม่มีเวลาพักผ่อนท่องเที่ยว ภาพที่เห็นจากรถทัวร์ รถสองแถว สามล้อ สองล้อ จอดเต็มไปหมด ยิ่งสายผู้คนยิ่งมากขึ้นจนเดินเหมือนแย่งกัน แสดงให้เห็นว่าคนในประเทศนี้ไม่ได้ยากจน และทำงานจนไม่มีเวลาพักอย่างที่เราเข้าใจ
oooooรถออกจากอนุสรณ์บ้านเกิดท่านโฮจิมินห์ มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงกรุงฮานอย ซึ่งจะต้องผ่านเมืองทันฮวา เมืองนินบิ่น เมืองฟูลี ก่อนถึงฮานอย

oooooที่ผ่านมาเมื่อวานนี้ ว่าพื้นที่กสิกรรมมีมากแล้วสองข้างทาง ยิ่งกว้างไกลเต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวสลับเหลือง ทั้งหว่าน ทั้งปักดำ แปลงนาแต่ละแปลงไม่เท่ากัน ทุกแปลงต้องมีน้ำขัง มีคลองส่งน้ำตัดผ่าน ทั้งคลองดิน คอนกรีต คลองซอยเข้าแปลงนา “ทุกวันนี้ เวียดนามปลูกข้าวส่งขายต่างประเทศเป็นคู่แข่งกับไทย ชนิดหายใจรดต้นคอของไทยเลยทีเดียว” เสียงของหัวหน้าทัวร์ ท่าน ส.ส.ไพจิต ทำลายความเงียบที่ต่างคนต่างคิด
ooooo“การมาศึกษาดูงานครั้งนี้ผมอยากให้คณะ สจ.และพวกเราทั้งหมดได้จดจำเอาสิ่งที่ดีของเวียดนาม ตั้งแต่ความขยัน การนำน้ำมาใช้ในการเกษตร จะเห็นได้ว่าเวียดนามทำได้มาตรฐานมาก เป็นประเทศหนึ่งในโลกเท่าที่ผมเคยไปศึกษาดูงานมา ในอนาคตข้างหน้าถ้าไทยเรามัวแต่รีรออย่างนี้ คงถูกเวียดนามแย่งตลาดข้าว นักวิชาการเกษตรของเขาก็พยายามศึกษาพันธุ์ข้าวไม่หยุดนิ่ง ด้วยความขยัน ระบบชลประทานเป็นเยี่ยม ภูมิประเทศเอื้ออำนวยแบบนี้ รับรองได้ว่าอนาคตไทยต้องซื้อข้าวเวียดนามแน่ ท่านบีอาร์ช่วยบอกโชเฟอร์จอดรถให้พวกด้วย เพื่อจะได้ลงไปสัมภาษณ์และสัมผัสของจริง” ครอบครัวที่เราลงไปสัมผัสช่างเป็นเรื่องบังเอิญ ผัวครูเมียครู สอนโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน ลูกสาวหนึ่งคนกำลังเรียนมัธยมปลาย ต่างสาละวนกับการมัดข้าว เงินเดือนคนละแสนโด่ง วันนี้เป็นวันหยุดและเป็นภารกิจประจำที่เขาต้องทำ นาที่ทำเป็นดินที่รัฐจัดสรรให้คนละ 1 เอเคอร์ (ประมาณ 2.5 ไร่) ครอบครัวเขามีสามคนก็มีดินสามเอเคอร์ทำนาได้ปีละ 3-4 ครั้ง ในรอบสามครั้งของดินที่ปลูกข้าวต้องปลูกพืชอย่างอื่นไม่ว่าเป็น ถั่ว ผักบุ้ง ข้าวโพดหมุนเวียน เพื่อบำรุงดิน ทุกคนมีสิทธิเท่ากันในที่ดิน ครอบครัวใดมีห้าคนก็ห้าเอเคอร์ ห้ามให้ที่ดินว่าง ดินไม่ต้องเช่าไม่ต้องซื้อขาย แต่น้ำที่รัฐจัดสรรระบบชลประทานให้ต้องจ่ายค่าเช่าให้หลวงตามจำนวนดินที่มี โดยเฉลี่ยครอบครัวละประมาณหนึ่งแสนถึงห้าแสนโด่งต่อปี ครอบครัวนี้เป็นข้าราชการ สิทธิทำกินเหมือนชาวบ้านทั่วไป ห้ามมีลูกเกินสองคนจะถูกไล่ออกจากราชการ ที่ตากข้าวบนถนนเพราะต้องการให้รถเหยียบ เป็นการนวดข้าวไปในตัว ผักที่ปลูกผลผลิตที่ได้รัฐเป็นผู้รับซื้อ ส่วนที่เหลือกินในครอบครัว

oooooส่วนผักบุ้ง ข้าวโพด ถั่ว ฯลฯ เหลือกินนำไปเป็นอาหารสัตว์ ที่เห็นฟางมัดเป็นฟ่อนๆ นั่นคือเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับหุงต้มและเป็นอาหารวัวควาย ความกังขาอีกข้อ เงินเดือนครูสองคนผัวเมียรวมกันสองแสนโด่ง ลูกเรียนหนังสืออีกหนึ่ง ไหนจะชุดราชการ ชุดทำงานพิธีราษฎร์ พิธีหลวง เครื่องใช้จิปาถะ พอใช้หรือ? เพราะ 1 บาท เท่ากับ 385 โด่ง 100,000 โด่งค่าคือ 260 บาท ทำทุกอย่างที่เป็นเงิน คือคำตอบ ตั้งแต่เลี้ยงสัตว์ทุกประเภทที่คนกิน ปลูกทุกอย่างที่ขายได้ อะไรกินได้ในท้องนาไม่ละเว้น สิ่งที่เรียกว่าอบายมุข แหล่งบันเทิงไม่เคยรู้จัก มีงานบุญประเพณีบ้างในวันสำคัญคือที่ผ่อนคลายของชุมชน “อย่างนี้แหละเรียกว่าเศรษฐกิจพอเพียง” สจ.สมหมาย (นายสมหมาย อุดหนุน) ส.อบจ.เขตอำเภอเมือง ประกาศให้คนบนรถทราบ

ooooo“แต่ข้าวที่เขาปลูกไม่มีคุณภาพ เป็นข้าวที่คนไทยไม่ปลูกแล้ว เจ้าของนาก็บอกว่าปลูกเพื่อส่งขายไปต่างประเทศเพื่อแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ผมขออนุญาตเล่าถึงวิวัฒนาการพันธุ์ข้าวท้องถิ่นไทยบ้านเราให้คณะได้ฟังนะครับ ว่ามีกี่ชนิด 1.ข้าวมันตุ่น 2.ข้าวมะเขือ 3.ข้าวมะขาม 4.ข้าวปีก 5.ข้าวปลาซิว 6.ข้าวแม่ฮ้างใหญ่ 7.ข้าวเหลืองแก้ว 8.ข้าวแม่ฮ้างน้อย 9.ข้าวปัดหิน 10.ข้าวขี้เหล้า 11.ข้าวหมากกอก 12.ข้าวสามเดือน 13.ข้าวเจ้าดอ 14.ข้าวเล็บช้าง 15.ข้าวอีนก 16.ข้าวสันป่าตองดอ 17.ข้าวแดงพะม้า 18.ข้าวดอเวียดนาม 19.ข้าวอีขาว 20.ข้าวฮากไผ่ 21.ข้าวเหลืองทอง 22.ข้าวตับเมย 23.ข้าวส้ม 24.ข้าวหมากไฟ 25.ข้าวอีดำ 26.ข้าวบักยม 27.ข้าวอีเกา 28.ข้าวปลาเข็ง 29.ข้าวกาบยาง 30.ข้าวนาสวน 31.ข้าวอีปุ้ม 32.ข้าวหนอนนา 33.ข้าวมันงัว 34.ข้าวอีน้อย 35.ข้าวเหนียวลอย 36.ข้าวป้องแอ้ว 37.ข้าวหอมนางนวล 38.ข้าวจ้าวลอย 39.ข้าวจ้าวขี้ควาย 40.ข้าวมันดง 41.ข้าวเหนียวอุบล 42.ข้าวจ้าวแดง 43.ข้าวจ้าวดำ 44.ข้าวก่ำ 45.ข้าวอีเหลือง 46.ข้าวขี้ตมหางนาค 47.ข้าวอีลาว ข้าวที่เรากินทุกมื้อในเวียดนามน่าจะเป็นข้าวจ้าวดอหรือไม่ก็ข้าวจ้าวขี้ควาย ที่ลงไปดูน่าเป็นข้าวดอเวียดนาม ชาวนาโดยการเกิดอย่างลุงสมหมายอวดภูมิ สภาพชุมชน นอกจากจะมีบ้านยาวตามเส้นทางที่ผ่านแล้วยังพอมองเห็นเป็นหมู่บ้านที่ห่างออกไปบ้างอยู่กลางทุ่ง รัศมีสุดสายตามองเห็นได้หมด เพราะไม่มีป่าไม้บัง มีแค่ทุ่งนา คลองส่งน้ำ และก็สุสานฝังศพ สลับไปกับภูเขา “ผมก็มีสิ่งแปลกที่เห็นวันนี้ ว่าทำไม? บ้าน...ถึงมีผ้าม่านสีน้ำเงินบังไว้บนชั้นสองทุกหลัง ข้อสอง ทำไม? บ้านถึงทาสีเฉพาะข้างหน้า” สจ.สฤษดิ์ (นายสฤษดิ์ โมธรรม) ส.อบจ.เขตอำเภอนาทม ตั้งข้อสังเกต “ทุกคนอาจจะไม่สังเกตตั้งแต่เข้าประเทศเวียดนามมา ถึงแม้จะมีทุ่งนา แม่น้ำมากมายแต่ผมยังไม่เห็นนกเลยสักตัว”

oooooหลังอาหารเที่ยงที่เมืองทันฮวา ความเร็วที่จำกัดไม่ให้เกินหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามกฎจราจรของเวียดนาม วิ่งกินลมชมแปลงข้าวสองข้างทาง ถึงแม้ให้รถวิ่งได้ตามกฎสากลเหมือนในหลายประเทศ ก็คงปฏิบัติยาก เพราะกฎในตัวของมันเองบังคับ ผ่านเมืองนินบิน เมืองฟูลี เมืองรายทางขนาดเล็กแสงแดดยามผีตากผ้าอ้อม ทำให้รู้ว่าขณะนี้ยานบรรทุกมนุษย์จากประเทศที่เรียกว่าไทย กำลังเข้าเขตชานเมืองที่เคยได้ยินแต่ชื่อบ้านเรือนรูปทรงฝรั่งเศส ยวดยานพาหนะที่ว่ามีมากแล้ว ที่นี่ยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ ความเอื้ออาทรระหว่างคนใช้ถนนกับพาหนะทุกชนิดกลมกลืนจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน รถของเรายิ่งถูกกำหนดให้ทำเวลาช้าลง “อีกประมาณสิบหกกิโล เราจะถึงกลางกรุงฮานอย...เมืองหลวงของเวียดนามเหนือหนองน้ำขนาดใหญ่ที่เห็นอยู่ข้างหน้าคือ แก้มลิงป้องกันน้ำท่วมเมือง เป็นหนองธรรมชาติจัดทำใหม่ตามระบบชลประทานของเวียดนาม เราจะพาทุกท่านไปกินอาหารที่ร้านอาหารชั้นหนึ่งของฮานอย ที่มีอาหารไทยด้วย แล้วค่อยกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมระดับสี่ดาว ส่วนใครจะไปที่ไหนอย่างไรถึงโรงแรมค่อยนัดหมายกันอีกทีครับ” เสียงประกาศก่อนรถจอดหน้าร้านอาหารที่จัดโต๊ะไว้ยาวเหยียดเพื่อต้อนรับคณะของเรา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คณะกลุ่มใหญ่ชวนกันไปเดินห้าง เพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าเยี่ยมคารวะ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนามและเคารพศพท่านโฮจิมินห์ในโลงแล้ว จึงต้องมีพิธีการให้สมเกียรติทั้งสองรายการ เจ็ดโมงตรง ฯพณฯ กฤต ไกรจิตติ รอคณะอยู่ก่อนแล้วที่บริเวณจัตุรัสโรงแก้วท่านโฮจิมินห์ ฯพณฯ จะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเข้าคารวะศพลุงโฮโดยไม่ต้องซื้อบัตร รอต่อแถวเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป ณ พิพิธภัณฑ์ท่านโฮจิมินห์ คนไทยจากนครพนมว่ามาถึงเช้าแล้วยังช้ากว่านักท่องเที่ยวที่ยืนเรียงแถวยาวเหยียดสี่แถวประมาณว่าน่าจะไม่ต่ำกว่าพันคน ดูจากการแต่งกายน่าจะเป็นชาวจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และคนญวนเวียดนาม ฯพณฯ ทูตไทย เดินนำหน้าแถวกลางถนนนอกชายคาทางเดินปกติ คู่กับ ส.ส.ไพจิต...ส.ส.ศุภชัย คู่กับผู้ว่ารองธีรเดช ผู้การตำรวจคู่กับประธานสภา นายก อบจ. คู่กับผม รองสมชอบคู่กับแม่บ้าน (สจ.เทพ) ตามด้วยคณะ ส.อบจ.เหมือนแถวนักเรียนอนุบาลเดินตามหลังคุณครู สายตามองมาที่ขบวนของเรา คงเห็นเป็นเรื่องพิเศษที่หัวแถวผูกไท้ใส่สูทภูมิฐานทุกระเบียดนิ้ว กลางแถวท้ายแถวถึงไม่ใส่เสื้อนอกก็ถือว่าไม่ขี้เหร่นัก ถ้าเทียบกับแถวนักท่องเที่ยว สามารถเดินยืดอกได้อย่างทรนงองอาจ จนอดหลงภูมิใจในความเป็นไทยที่เป็นผู้นำระดับต้นๆ ของกลุ่มอาเซี่ยนถึงแม้จะมาจากจังหวัดชายแดนบ้านนอกก็ตาม เดินยืดท่ามกลางสายตาของนานาชาติ เหมือนแถวทหารกองเกียรติยศ หุ่นขี้ผึ้งลุงโฮ นอนนิ่งสงบในโลงแก้ว มีทหารยืนคุมทุกห้าเมตรข้างทางประตูเข้าออก

oooooพิพิธภัณฑ์ชั้นเดียวรูปทรงเหมือนหอประชุม แต่มีอานุภาพน่าเกรงขาม ทุกชีวิตผ่านเข้าไปในตัวอาคารจะถูกปลดเครื่องมืออิเล็กโทรนิกส์ทุกประเภท แม้แต่กระเป๋าถือก็ไม่มีอภิสิทธิ์ เสียงคุยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จะไม่มีออกจากปากบุรุษและสตรีใด กลางห้องโถงเป็นที่ตั้งของศพทุกคนเดิน แถวเข้าประตูหนึ่ง แล้วเดินอ้อมออกประตูสองระยะห่างจากหุ่นลุงโฮราวห้าเมตร ไม่มีการหยุดยืนสงบเพื่อไว้อาลัยหรือสวดมนต์ใดๆ ทุกคนมีหน้าที่เดินตามแถวและแค่ชำเลืองสายตาสัมผัสเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่กลมกลืนอย่างน่าอัศจรรย์ ระหว่างจิตวิทยา ความเชื่อ ศรัทธา ระเบียบวินัย อำนาจลัทธิ ลงตัวอย่างสมานฉันท์ คงไม่แปลกใจที่ห้ามนำกล้องถ่ายรูป เครื่องมือสื่อสารเข้าไปในอาคาร ห้ามส่งเสียงดังและเดินแตกแถว ออกจากพิพิธภัณฑ์ถ่ายรูปหน้าทำเนียบรัฐบาล เสียดายว่าเป็นวันหยุดเลยไม่ได้เข้าชมแต่ได้รับความเมตตาเดินนำชมด้านหน้าพร้อมเล่าประวัติของอาคารแต่ละหลัง อาคารบ้านพักท่านโฮจิมินห์ ข้าวของเครื่องใช้รถยนต์ที่นำมาให้นักท่องเที่ยวได้ชมพร้อมกับทำบุญที่วัดเสาเดียว วัดเก่าแก่อายุกว่าพันปี เอกอัครราชทูตไทยประจำเวียดนามเล่าว่า พิพิธภัณฑ์บ้านนาจอกที่นครพนม ก็จำลองแบบจากที่นี่ ที่นี่มีอะไร บ้านนาจอกก็มีเช่นเดียวกัน คนไทยหรือคนญวนในประเทศไทยอยากเห็นบ้านท่านโฮจิมินห์ ข้าวของเครื่องใช้ที่นครพนมก็มีจำลองให้ดู แดดเมืองญวนทำให้บรรดา สจ.บ้านนอกอย่างพวกเราแบกเสื้อนอกถอดไทด์ ไม่สนใจสายตาผู้คนเหมือนตอนเจ็ดโมง สภาพ สจ.ผู้ทรงเกียรติกลายเป็นนักท่องเที่ยวในบัดดล คณะแตกแถวเป็นกลุ่ม ผมอดเป็นห่วงนายกเดือน (คุณมนพร เจริญศรี) มองหาตั้งหลายรอบก็ไม่เห็น กลัวว่าจะหลงเข้าไปอยู่กับหมู่นักท่องเที่ยวจีน ที่ไหนได้เดินถือธูปเทียนดอกไม้รอบวัดเสาเดียวคู่กับ นางปู (นางสุวิมล ธรรมชัย) ส.อบจ.เขตอำเภอเมือง ต่างคนต่างบ่นพึมพำไม่รู้ว่าพระญวนจะเข้าใจภาษาไทยตามคำอธิษฐานหรือเปล่าก็ไม่รู้

oooooณ บ้านพักทูตไทยประจำกรุงฮานอย ดื่มน้ำรับกาแฟจากฝีมือแม่บ้านคนไทยเสร็จ ฯพณฯ ขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารเที่ยง ในวันพรุ่งนี้เมื่อกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง กรุงฮานอย วันนี้ถือว่าโดดเด่นในด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศไล่เรียงจากเกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน กระทั่งไทยเราเอง ในครึ่งปี 2548 จำนวนสูงถึง 1,075 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 43,000 ล้านบาท) นำหน้านครโฮจิมินห์เมืองหลวงภาคใต้ที่เคยครองแชมป์มาตลอด ส่วนด้านการท่องเที่ยว มีตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นจากเดิมถึง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทางการเวียดนามระบุว่านักท่องเที่ยวที่มาเยือนกรุงฮานอย ในช่วงหกเดือนแรก จำนวนถึง 2 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ 520,000 คน เพียงแค่พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ที่อยู่ในเขตจัตุรัสบาดินห์ จะมีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติแลและชาวเวียดนามเดินทางมาเคารพสุสานลุงโฮกันแน่นขนัด ยิ่งช่วงสายผู้คนยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าตัว รอบๆ จัตุรัสบาดินห์ กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ศิลปะส่วนใหญ่จะสร้างไว้ระลึกถึงอดีตไม่ให้ลืมความเจ็บปวด เช่นรูปปั้นอมตะคนถือระเบิดที่มีปลายแหลม 3 จุด จะระเบิดได้ก็ต่อเมื่อเอาทิ่มเข้ากับตัวรถถัง แล้วคนจะระเบิดพร้อมกัน ถือเป็นการปลุกจิตสำนึกในการรักชาติ สวนสาธารณะตามจุดต่างๆ เต็มไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะ “บึงฮว่านเกี๋ยม” ที่ร่มรื่นและสวยงาม มีการจับจองพื้นที่นั่งเล่นกันตั้งแต่ช่วงเช้าไปจนถึงเย็น สำหรับสิ่งที่ยังคงเหมือนเดิมและคงเส้นคงวาที่สุดของเวียดนาม ดูเหมือนจะเป็นการจราจรที่มีเสียงแตรรถดังทั้งวัน การจราจรไม่เป็นระเบียบ รถราขวักไขว่จนเวียนหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถมอเตอร์ไซค์ เพราะคนที่นี่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะหลัก ซึ่งราคาไม่ใช่ถูกๆ บางคันราคาสูงถึงหลักแสนสำหรับรถญี่ปุ่น ส่วนรถนำเข้าจากจีนจะถูกกว่า ลูกคนรวยหลายคนไม่ชอบใช้รถยนต์แต่จะใช้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ๆ เป็นรถนำเข้าจากญี่ปุ่นในราคาคันละประมาณ 3 แสนบาท ที่แพงมากเพราะภาษีนำเข้ารถยนต์สูงถึง 200 เปอร์เซ็นต์ ประเทศเวียดนามในอดีต ด้วยความที่พื้นที่แคบและยาว การปกครองลำบากจึงทำให้ชาติจักรวรรดินิยมจากยุโรปเข้ามาแทรกแซงและตกเป็นของฝรั่งเศสถึง 20 ปี แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เวียดนามถูกญี่ปุ่นบุก ช่วงนั้นฝรั่งเศสกลับร่วมมือกับญี่ปุ่นในการยึดทรัพยากรมหาศาล ฝรั่งเศสบริหารประเทศเวียดนามจนถึง พ.ศ. 2488 เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม พวกเวียดมินห์ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นและฝรั่งเศส ได้ก่อการปฏิวัติและยึดอำนาจคืนได้สำเร็จ โดยบรรดาผู้นำของเวียดมินห์พร้อมใจกันประกาศให้เวียดนามเป็นเอกราช เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2488
oooooชาวเวียดนามยกย่องลุงโฮในฐานะเป็น “บิดาของประเทศ” เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ ฝรั่งเศสกลับเข้ามาเวียดนามอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ลูกหลานเวียดมินห์ไม่ยอม ร่วมใจกันต่อสู้ทำสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ คนเอเชียผิวเหลืองสามารถรบชนะมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสได้ที่เดียนเบียนฟู เมื่อ พ.ศ. 2497 เรียกศึกครั้งนั้นว่า “ยุทธการเดียนเบียนฟู” ผลก็คือฝรั่งเศสพ่ายแพ้อย่างยับเยิน จนต้องหาทางเจรจาหยุดสงคราม นำไปสู่ข้อเรียกร้องให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากเวียดนาม เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2497 ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามภายใต้สนธิสัญญาสันติภาพเจนีวา ต่อมาเมื่อมีการเลือกตั้งรัฐบาลภายในปี 2499 โฮจิมินห์พยายามรวมเวียดนามเหนือและใต้เข้าด้วยกัน โดยขอร้องให้โซเวียตและจีนแดงช่วยเหลือ และเป็นเรื่องที่อเมริกากลัวนักหนาว่าหากเวียดนามเหนือมีรัสเซียและจีนหนุน จะทำให้เวียดนามใต้ถูกกลืนเป็นคอมมิวนิสต์ และที่สุดรัสเซียและจีนจะขยายอำนาจมาบนภูมิภาคอินโดจีน มหาอินทรีย์อเมริกายอมไม่ได้ จึงทำสนธิสัญญาขึ้นมาอีกฉบับภายใต้การเห็นชอบของพันธมิตรหลายประเทศ ตั้งเป็นกลุ่มปกป้องเอเชียอาคเนย์หรือ “SEATO” สนับสนุนให้ โง ดิน เดียม ขึ้นบริหารเวียดนามใต้ มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่มีพฤติกรรมฝักใฝ่คอมมิวนิสต์ และใช้วิธีทางการเมืองบีบเวียดนามเหนือ จนกลายเป็นความรุนแรง เกิดการรวมกลุ่มกันขึ้นต่อต้านรัฐบาลเวียดนามใต้ที่นำโดย โง ดิน เดียม ในปี 2502 ภายใต้ชื่อ “พรรคปลดปล่อยแห่งชาติ” อเมริกาเรียกกลุ่มนี้ว่า “เวียดกง” เป็นคำแสลงแปลว่า “คอมมิวนิสต์ชาวเวียดนาม” ชาวบ้านบางส่วนที่ไม่พอใจรัฐบาลได้เข้าร่วมกับพวกเวียดกง หนีเข้าไปอยู่ป่าทึบทำการต่อสู้แบบจรยุทธ์กับอเมริกาเป็นที่มาของสงคราม “ฝนเหลือง” โดยอเมริกาใช้สารเคมีปฏิบัติการลิดใบไม้ในป่า โปรยสารเคมีฆ่าเวียดกง สงครามยืดเยื้อถึง 20 ปี เขาที่เราเห็นส่วนใหญ่จึงเป็นเขาหัวโล้น แล้วในที่สุดรถถังของพวกเวียดกงก็บุกเข้าถึงทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้ เอาชนะอเมริกาและรัฐบาลเวียดนามใต้ได้เด็ดขาดในปี 2518 สงครามจบลงด้วยการตายและการสูญเสียของทหารทั้งสองฝ่ายอย่างมหาศาล จากนั้นเวียดนามจึงรวมประเทศใหม่เมื่อ 2519 มีนายฟาม วัน ดง เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เวียดนาม ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เสียง ฯพณฯ กฤต ไกรจิตติ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย ยังแว่วอยู่ในหู เที่ยงเศษ มองเห็นโพ้นทะเลเป็นการบ่งบอกว่าขณะนี้เอสพีบีอาร์ทัวร์กำลังเข้าเขตอ่าวฮาลองเบย์ มรดกโลกอีกแห่งของเวียดนาม ทะเลก็คือทะเลสุดตาคือน้ำ แต่เรียบริมฝั่งเครื่องจักรกำลังเร่งผุดโปรเจคตามโครงการที่นายทุนต่างประเทศต้องการเนรมิตให้เป็น โรงแรมหรูหลายชั้นยืนตระหง่าน รีสอร์ทรูปทรงแตกต่างกัน บ้านพักตากอากาศมีให้เห็นเหมือนเมืองชายทะเลในประเทศไทย ผู้คนอึกทึกอื้ออึง รถนำเที่ยวจอดยาวเหยียดตามถนน ไม่ได้แตกต่างอะไรกับชายหาดพัทยา มนุษย์หลายเผ่าพันธุ์ไม่ว่าเป็นเอเชีย ยุโรป อเมริกา มีให้เห็นเป็นคณะ ที่แตกต่างกันก็คือที่นี่ยังไม่เป็นเมืองชายหาด มีแต่เรือสำราญที่รอบรรทุกนักท่องเที่ยวออกทะเล เรียงซ้อนกันที่ท่าเทียบเรือราวสามสี่ร้อยลำ

ooooo“ขอต้อนรับทุกท่านสู่ทะเลจีนใต้อ่าวฮาลองเราจะรับประทานอาหารเที่ยงที่เป็นซีฟู๊ดล้วนบนเรือสำราญ จะนำท่านชมเกาะต่างๆ ถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยเกาะ โดยจะแวะจอดชมถ้ำเทวดาจนเวลาบ่ายสามโมงถึงกลับเข้าฝั่ง คืนนี้เราจะนำท่านไปนอนพักที่เมืองตากอากาศ ห่างจากนี้ไปราวหกสิบกิโล วันนี้ขอให้ทุกท่านสำราญกันเต็มที่ อาหารสั่งได้ไม่อั้น” บีอาร์ประกาศก่อนรถจอด เรือสำราญสองชั้นเหมือนเรือประมง เพียงดัดแปลงใหม่หลังคามีเก้าอี้ผ้าใบให้นอนตากอากาศได้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมีใบไว้อีกต่างหากคือ เฮือกระแซงซื้อปลาแดกบ้านเฮาตอนยังเป็นเด็กน้อยเนาะ รองกอ (นายทันใจ ณ รังสี) ส.อบจ.เขตศรีสงคราม เปรียบเปรย
oooooเรือกระแซงเมื่อสามสิบปีที่แล้วคือเรือบรรทุกสินค้าขึ้นลงตามลำน้ำโขง และแม่น้ำสงครามโดยพ่อค้านำสินค้าจำพวกเรือเกลือสินเธาว์ ข้าวสาร เครื่องก่อสร้างไปขาย ขากลับก็บรรทุกปลาร้าอันเป็นสินค้าออกอย่างดีของคนลุ่มน้ำนครพนม ฮาลองเบย์ สิ่งมหัศจรรย์ติดอันดับของโลก เกาะที่มองเห็นแตกต่างจากเกาะทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ไม่น่าจะเรียกว่าเกาะ น่าจะเรียกว่าภูเขามากกว่า ภูเขาหินเป็นแท่งที่พบเห็นตั้งแต่ลาวจนถึงเวียดนามเป็นเขาชนิดเดียวกัน เพียงเปลี่ยนสถานที่ตั้งมาอยู่กลางทะเลซ้อนกันไปสูงต่ำ เล็กใหญ่ตีนเขาไม่มีหาดทราย ระดับน้ำทะเลเหมือนทุ่งข้าว เห็นข้าว...เห็นเขา เห็นเขา...เห็นน้ำ สลับกันไปตามระยะทางที่เรือวิ่งผ่าน
oooooถ้ำเทวดา (THIENCUNG) สูงจากระดับน้ำราวสี่สิบเมตร เป็นถ้ำที่คนจีนค้นพบ เคยเป็นที่หลบภัยยุคสงคราม ปัจจุบันได้รับงบสนับสนุนจากสหประชาชาติในการดูแลรักษา เป็นถ้ำขนาดพื้นที่ราวสิบไร่ ยาวอ้อมไปตามเขา ด้านล่างหน้าถ้ำมีสะพานไม้ รอบเขาเป็นทางเดินแทนหาดทราย ชิดราวสะพานมีเรือขายสินค้าขบเคี้ยวและเครื่องดื่มหลากชนิด 5 โมงเย็นเข้าเขตเมืองท่าไฮฟอง สองข้างทางจากสภาพทุ่งข้าวกลายเป็นโรงงาน หนุ่มสาวนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานเป็นคู่ สวมเสื้อผ้าตามโรงงานกำหนด บ้างเดินเป็นกลุ่ม บ้านพักคนงานรูปทรงฝรั่งเศสแบ่งหญิงชายชัดเจน ริมฝั่งป่าชายเลนร่องรอยน้ำขึ้นลง เรือนานาชนิดเกยตื้นเรียงกันไปจนถึงทะเลที่มีเสากระโดง เรือส่งสินค้าจอดนิ่งเหมือนเสาไฟฟ้า ไกลโพ้นออกไปเรือเดินทะเลขวักไขว่เข้าออก โรงแรมฮิวงิ (HIUNGI) ขนาดสี่ดาวเมืองไฮฟองจะเป็นอีกคืนของการศึกษาดูงานเวียดนาม
“คืนนี้ท่านใดอยากไปบ่อนกาสิโน หลังอาหารเย็นจะนำท่านชมเมืองตากอากาศโดเซิน สมัยก่อนเป็นบ้านพักตากอากาศของจักรพรรดิเบาด๋าย ปัจจุบันเป็นบ่อนกาสิโนแห่งเดียวในประเทศเวียดนาม ท่านที่ชอบได้เสียชอบเสี่ยงโชค หลังข้าวเย็นลูกชายผมคุณสุรชัยจะนำท่านไป ส่วนสุภาพสตรีที่จะซื้อของฝาก อยากเดินตลาดตอนค่ำคืนที่นี่ถือว่าเป็นเมืองน้ำหอมใครสนใจบอกคุณทัน” บีอาร์นัดหมาย หลังจากรถวิ่งขึ้นเขาคดโค้งสูงขึ้นเรื่อยๆ รถนำเที่ยวจอดหน้าอาคารขนาดใหญ่ บริเวณจอดรถกว้างขวางปลูกต้นไม้ตกแต่งสวนหย่อมไว้สวยงาม มีรถแท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสารสามคัน รถส่วนตัวอีกห้าคัน โดเซิน บ่อนกาสิโน มีผู้คนไม่มากนักเพราะไม่ใช่วันหยุด มีชาวจีนชายหญิงกลุ่มหนึ่งราวสิบกว่าคนมุงล้อมโต๊ะไฮโลส่งเสียงหัวเราะสลับเสียงผิดหวังดังลอดออกมา พอให้รู้ว่าคนกลุ่มนี้กำลังลุ้นเสี่ยงโชคอย่างออกรส จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง ไต้หวัน พวกเราไม่สามารถทราบได้เพราะสื่อสารกันไม่เป็น

oooooรองสมชอบ สจ.คำยอด สจ.เอ สจ.ต่อศักดิ์ สจ.เสน่ห์ และกลุ่มก๊วนที่ไม่ยอมหลับนอนตอนกลางคืนกัน อีกหลายคนแลกเหรียญเดินไปที่โต๊ะเปิดอีกวง ส่วนที่เหลือก็ยืนศึกษากติกาการเล่น บ้างก็แยกย้ายไปนั่งจิบเบียร์เย็นๆ เหล่พนักงานเสริฟสาว วางฟอร์มอาเสี่ยนักท่องเที่ยวแต่ภาษาไม่กระดิกหูอย่างสบายใจ นักต่อสู้กับเกมก็เมามัน ผู้จิบเบียร์ก็กลายเป็นซดและหายไปทีละสี่ห้าคน สอบถามสุรชัยจึงได้ความว่าเอาไปฝากไว้บ้านญาติข้างล่าง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนปนสงสัยจึงตามไปดู ห่างจากอาคารบ่อนลงมาข้างล่างตีนเขาประมาณ 3 กิโลเมตร สถานที่ท่องเที่ยวคลาคล่ำไปด้วยมนุษย์ค้างคาวที่หากินกลางคืนทั้งผู้หญิง ผู้ชาย ร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ บาร์เหล้า ไฟแสงสีหลากหลายระยิบระยับสองฝั่งถนน แท็กซี่จอดหน้าตึกสองชั้นหลังหนึ่ง สุรชัยบอกว่าพรรคพวกเรานั่งเล่นอยู่ข้างบน ผมก็เดินขึ้นไปข้างบนพร้อม สจ.แหล้ สจ.เรือน แต่ไม่เห็นมีใคร มีเพียงเด็กเสริฟผู้ชายเฝ้าโต๊ะอยู่สองคน “สจ.ที่ลงมาก่อนกำลังทำพิธีเพื่อสมัครใจเป็นเขยลุงโฮ” สุรชัยคนนำทางบอกกับคณะ ทำให้ผู้มาใหม่สงสัยและงุนงงมากมันทำกันยังไง

ไม่มีความคิดเห็น: